เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o มี.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ วันพระในศาสนาพุทธ มีวันพระ วันโกน.. วันพระ วันโกน ให้ไปวัดไปวา เราก็คิดว่าไปวัดไปวาต้องไปวัดที่มีพระอยู่ แต่วัตรเป็นวัตร ข้อวัตรปฏิบัติ ไปวัดที่วัดร้าง วัดที่ไม่มีพระอยู่เป็นวัดร้าง พอมีภิกษุจำพรรษาขึ้นมา วัดที่มีพระจำพรรษา แล้วถ้าว่าวัดร้างไม่มีพระอยู่ เป็นวัดร้าง เราก็เหมือนกัน เป็นชาวพุทธ ถ้าเราไม่มีข้อวัตรปฏิบัติ เราไม่มีหลักมีเกณฑ์ของเรา เป็นคนร้าง เป็นคนที่ไม่มีหลักมีเกณฑ์ มันจะไหลไปตามสวะ

แต่ถ้าคนมีหลักมีเกณฑ์ เขาว่าคนมีหลักมีเกณฑ์คือคนโง่นะ โลกจะบอกเลย ผู้เสียสละ ผู้ที่มีใจเป็นคุณธรรมนี่คนโง่ คนที่ฉลาดคือต้องคนนั้นเอาเปรียบ คนนั้นเอาเปรียบเขา คนได้ผลประโยชน์ คนนั้นคนฉลาด ฉลาดของกิเลสทำให้เราทุกข์เรายากนะ มันได้มา ได้วัตถุสิ่งใดมา มันไม่สบายใจหรอก สิ่งใดที่ได้มา มันไม่เป็นคุณธรรมนะ แต่ถ้าเราแสวงหามาด้วยศีลด้วยธรรม แสวงหามาด้วยหน้าที่การงานของเรา อันนี้เป็นธรรม สิ่งใดที่เป็นธรรม

เพราะว่าสิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่ต้องมีอาหารหล่อเลี้ยง ไม่มีอาหารหล่อเลี้ยง สิ่งมีชีวิตนั้นอยู่ไม่ได้ เราก็เหมือนกัน เราเกิดเป็นคน เราก็ต้องมีอาหาร มีปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้ามีเครื่องอาศัย ทำงานหน้าที่ตามหน้าที่การงานของเรา ได้เงินมา เราภูมิใจในหน้าที่การงานของเรา สิ่งที่มีค่าที่สุดคือชีวิตของเรา คือความรู้สึกของเรา แล้วความรู้สึกของเรามันติดคุก คนติดคุกยังมีวันออกนะ แต่เราติดในความคิดของเราน่ะ ติดในกิเลสตัณหาความทะยานอยากน่ะ ติดไปในวัฏฏะ ติดเวียนตายเวียนเกิดไปไม่มีวันออกจากกิเลสได้

เราออกจากคุกได้นะ ทำให้จิตใจเราเป็นเสรีภาพ ถ้าออกจากคุกได้ คนติดคุกเขาจะมีความสุขรื่นเริงก็รื่นเริงอยู่ในคุกนั้น เขาจะมีความทุกข์ยากหงอยเหงาเขาอยู่ในคุกนั้น ออกจากคุกนั้นมาเขาจะสบายใจมาก เขาจะมีความรื่นเริงในชีวิตของเขา

ในใจของเรามันติดกิเลสครอบงำมันอยู่นี่ เราจะทุกข์เราจะยากอยู่ เราจะเสียสละบ้านเรือนมา มาประพฤติปฏิบัติชั่วคราว เราก็พ้นจากคุกในครอบครัวมาชั่วคราว ครอบครัวเห็นไหม เราเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมาต้องเป็นฝั่งเป็นฝา พอเป็นฝั่งเป็นฝาเพื่อความมั่นคงของชีวิต แล้วก็ไปนั่งกอดคอกันปรึกษาว่าอะไรเป็นฝั่งเป็นฝา...ทุกข์ทั้งนั้นน่ะ เอาความปรึกษา แล้วเราออกมาประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์ เราแยกตัวออกมาจากครอบครัว พ้นจากคุกมาคุกหนึ่ง

แต่พ้นจากคุกมาแล้ว เวลาปฏิบัติแล้ว เวลามาอยู่วัดอยู่วา แล้วมันพ้นจากคุกไหม ทำไมนั่งคอตกล่ะ ทำไมนั่งสมาธิภาวนาแล้วทำไมเอาตัวเองรอดไม่ได้ล่ะ มันไม่พ้นจากคุกของวัฏฏะไง คุกของวัฏฏะมันก็ครอบงำเราอยู่ เราจะไปอยู่ที่ไหน จะไปอยู่บนฟ้า จะไปอยู่บนอากาศ ไปอยู่ที่ไหนนะ มันก็ทุกข์ทั้งนั้นน่ะ เพราะมันอยู่กับใจเรา เราจะไปอยู่ที่ไหนนะ กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็อยู่ในหัวใจนี่ ถ้ามันอยู่ในหัวใจนี่ เราจะสู้มันอย่างไร

นี่วันพระ พระผู้ประเสริฐ จิตใจที่ประเสริฐ มันเสียสละแต่ของหยาบๆ ได้ เพราะอะไร เพราะจิตใจมันประเสริฐ จิตใจมันเหนือกว่า เหนือกว่าสิ่งที่มีคุณมีค่าทางวัตถุทั้งหลายในโลกนี้ สิ่งที่มีค่าทางวัตถุทั้งหลาย ดูสิ เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต เสียสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม” เสียอวัยวะได้เลย ถ้าจิตใจเราเป็นคุณธรรม เราเสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตของเรา เราเสียสละชีวิตได้เลย เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาน่ะ อะไรมันจะบอกตายๆๆๆๆ เสียสละชีวิตเลย “เสียสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม”

ธรรมะคืออะไร? ธรรมะ คือธรรมและวินัยที่องค์ศาสดาฝากธรรมวินัยไว้ให้เป็นศาสดาของเรา นั่นเป็นธรรมะที่เราพยายามจะสร้างขึ้นมาในหัวใจของเรา แต่ถ้าเป็นธรรมะในหัวใจของเราเกิดขึ้นมาแล้ว จิตเรามันมีความสงบขึ้นมา ที่ว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดคือชีวิตของเรา คือจิตใจของเรา พอจิตใจมันมีค่าขึ้นมา มันเห็นคุณค่าของมัน เห็นคุณค่านะ “มนุษย์เป็นอย่างนี้หนอ ชีวิตเป็นอย่างนี้หนอนะ” มันจะมีคุณค่ากับตัวเราเองนะ

พอมีคุณค่ากับตัวเราเองนะ มองไปที่วัตถุนะ มันเป็นเครื่องอาศัย เราจะไม่วิ่งเต้นเผ่นกระโดด วิ่งเต้นไปให้มันเหยียบย่ำเราจนเป็นความทุกข์มา เราก็ต้องแสวงหา คนมีสติสัมปชัญญะนะ สติ มหาสติ สติเป็นอัตโนมัติ ทำไมไม่หาทรัพย์สมบัติไว้เป็นเครื่องอาศัย ไม่หาสิ่งใดเป็นประโยชน์กับเรา.. ไม่ใช่คนตาย ไม่ใช่คนไม่มีความรู้สึก จะได้ไม่เอาอะไรเลย.. มันเอาโดยคุณธรรมไง เอาด้วยคุณธรรม สิ่งใดได้มาด้วยศีลธรรมคุณธรรม สิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับเรา สิ่งนั้นได้เป็นเครื่องอาศัยของชีวิตใช่ไหม แล้วชีวิต พอมันทำความสงบของใจ อ้อ.. ชีวิตเป็นอย่างนี้เอง.. ชีวิตเป็นอย่างนี้เอง.. ความสุขมันสุขเป็นอย่างนี้เอง ความสุขที่ยิ่งกว่าความสงบไม่มี สุขใดที่มียิ่งกว่าความสงบไม่มี ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ “สุขใดที่ยิ่งกว่าความสงบไม่มี” มันเป็นอย่างนี้เอง.. มันเป็นอย่างนี้เอง

ภพ ชาติ จิตสงบเป็นภวาสวะ เป็นตัวภพ จิตสงบขึ้นมา จิตเรามีความหดตัวเข้ามา เป็นอิสรภาพของตัวมันเอง เป็นอิสรภาพตัวมันเองชั่วคราวนะ ชั่วคราวคือมีความสุขขนาดนี้ นี่ชีวิตเป็นอย่างนี้ จะเห็นคุณค่า

ปฏิสนธิจิต การเกิดในไข่ของมารดา เราเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา อยู่ในครรภ์ ๙ เดือน คลอดมาเป็นเรา ไม่เคยรู้จักตัวเองเลย นี่มันครอบงำ คุกอันนี้ คุกในวัฏฏะมันปิดตาหมด ปิดตาหมดมันก็ไม่เข้าใจ แต่เรามีอำนาจวาสนา เราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา พอพบพระพุทธศาสนาเราก็ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นประเพณีวัฒนธรรมตกผลึกมา นี่ปู่ย่าตายายเราพาไปวัด พระสงฆ์ รัตนตรัยของเรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึก ถ้าพระพุทธ พระธรรม.. เป็นแก้วสารพัดนึก นึกที่ไหน นึกที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมเป็นหนึ่งเดียว จิตที่เป็นสมาธิขึ้นมา ใจเป็นธรรมขึ้นมา ใจเป็นสมาธิขึ้นมา ถ้าพระสงฆ์ที่นั่น นี่มันมาจากไหน?

วัดร้างกับไม่มีวัดอยู่ วัดที่มีพระอยู่มันก็เป็นสมมุติสงฆ์ แล้วถ้ามีข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา ข้อวัตรปฏิบัติในหัวใจของเรา นางวิสาขาไม่ได้บวชพระทำไมเป็นพระโสดาบันน่ะ นางวิสาขาเป็นคฤหัสถ์ ทำไมนางวิสาขาเป็นพระโสดาบัน ไม่ได้ห่มผ้าเหลือง ทำไมเป็นพระโสดาบัน เป็นพระโสดาบันก็วัดในหัวใจนี่ไง วัฏฏะ วัฏฏ์ที่ผู้ข้อง สิ่งที่มันข้องอยู่ในหัวใจได้ปลดเปลื้องมันออกไปจากวัดร้าง

วัดร้างไม่มีใครอยู่เลยนะ ไม่มีอะไรในหัวใจ หัวใจเราร้าง เราก็ไม่มีที่ยึดเกาะเลย เร่ร่อนไปตามความคิด เป็นเหมือนอากาศ เราขึ้นไปลอยอยู่อวกาศสิ มันไม่มีแรงดึงดูด เคว้งคว้างอยู่ในอวกาศ ความคิดของเราเกิดดับๆ ในหัวใจ มันไม่มีหลักมีเกณฑ์ของมัน นี่วัดร้าง

พอมีวัตรปฏิบัติขึ้นมา มันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน มันมีที่ยึดที่เหนี่ยว เราอยู่บนโลก เรายืน มันมีแรงดึงดูด เราจะไม่หลุดออกไปนอกโลก มันมีหลักมันมีเกณฑ์ของมัน แล้วมันจะชำระล้างจิตใจอย่างไร มันจะทำเพื่อตัวเองอย่างไร เพื่อตัวเองให้พ้นออกไปจากคุก ให้พ้นออกไปจากวัฏฏะ ให้พ้นออกไปจากที่คุมขัง มันคุมขังนะ มันคุมขังหัวใจของเรานี่ เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ มันเวียนตายไปได้ บุญกุศล ทำคุณงามความดีก็เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันก็เวียนไป ก็เป็นคุกของวัฏฏะ คุกแดนที่สบายหน่อย แดนที่ดี แดนหนึ่ง แดนสอง แดนสาม แดนสี่.. แดนไหนแดนประหาร เวลาจะหมดสิ้น แดนประหาร นี่เราติดคุกอย่างนี้มาตลอดนะ ติดคุกความคิดของตัวเอง ติดคุกในโลกวัฏฏะ

โลกธรรม ๘ นินทาคู่กับสรรเสริญ สรรเสริญคู่กับนินทา มันจะดีเด่แค่ไหนนะ มันก็เป็นเรื่องปากของเขา ไม่เป็นความจริง แต่ถ้าเป็นคุณธรรมของเรา เราประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา มันเป็นความจริงของเรา เขาจะสรรเสริญ โลกธรรม ๘ พูดไปเถอะ ปากเปียกปากแฉะเรื่องของเขา เรื่องของเขากับเรื่องของเราไง ทำคุณงามความดีก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจเราหยาบ เราก็ทำได้หยาบๆ ทำได้หยาบๆ เท่านั้น หยาบๆ แค่เสียสละทาน แค่ไปทำบุญกุศลก็เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสสากรรจ์แล้ว แต่ถ้าจิตใจเราละเอียดเข้าไปๆ นะ ในครอบครัวของเรา ให้เวลาเราบ้างเถิด เราจะออกแสวงหาของเรา ต้องคุยกัน ต้องทำความเข้าใจต่อกันนะ ให้มีโอกาสได้ออกถือศีลถือธรรม ไปวัดไปวาเพื่อจำศีลประพฤติปฏิบัติ เพื่อพรหมจรรย์ เพื่อหาเสบียงอาหาร หาที่อยู่ไง หาสมบัติพัสถานของจิต จิตมันจะเอาของมันไปเองนะ

แต่ถ้าคนมันวัดร้าง คนที่ไม่มีข้อวัตรปฏิบัติ ไม่ทำสิ่งใดเลย ตายแล้วนะ พอตายไปแล้ว ความรู้สึกใครฆ่ามันได้ ความรู้สึกในหัวใจไม่มีใครฆ่ามันได้หรอก เวลามันตายจากนี้ไป ความรู้สึกอันนี้ยังมีอยู่น่ะ แล้วก็จะไปนั่งคอตกน่ะ ทำไมเขาไม่ส่งเสบียงมาให้เรา ทำไมเขาไม่ทำบุญกุศล ทำไมเขาไม่คิดถึงเราๆ...เราไปหวังพึ่งคนอื่นไง

แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติของเราอยู่ เราเสียสละของเราอยู่ มันเป็นของเราใช่ไหม ของสิ่งใดที่หลุดจากมือของเราไปน่ะ ของเราทั้งหมดเลย เพราะใจเป็นผู้เสียสละใช่ไหม เสียสละไปสิ่งนั้นเป็นทิพย์ เพราะใจมันรับรู้ ใจเราเคยเสียสละสิ่งใด มันจะสะสมๆ เป็นอำนาจวาสนาเป็นบารมีของมัน มันเอาไปอย่างนี้ มันไปกับใจอย่างนี้ เพราะสิ่งที่มันมีสิ่งนี้อยู่แล้วมันไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เพราะไม่มีสิ่งนี้ เพราะสิ่งนี้เสียสละขึ้นมา ใจมันเบาลงเรื่อยๆ น้ำหนักการกดถ่วง แล้วเราเอาสิ่งที่มีน้ำหนักนั้นออกไปบ่อยครั้งๆ มันจะเบาลง จิตใจการเสียสละ ความตระหนี่ถี่เหนียวในกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราสละไปบ่อยครั้งๆ เข้า นี่ใจมันเบา สิ่งของที่เบามันก็ลอยขึ้นสูง

สิ่งของที่หนัก สิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่น สิ่งที่เราว่าเป็นของเราๆ เป็นสมบัติของเราน่ะ มันกดถ่วงหัวใจ มันเป็นของหนักใช่ไหม มันเป็นภาระรับผิดชอบใช่ไหม ในหัวใจน่ะ มันหนักของมัน เวลามันตาย มันจะตายไปไหนล่ะ มันก็กดลงต่ำไง เห็นไหม นรกอเวจี สวรรค์ มันเป็นธรรมชาติของมัน นี่คุกของวัฏฏะมันเป็นไป

เราแสวงหาอย่างนี้ เราทำบุญ จิตใจเรายังไม่ละเอียดพอ เราก็ใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องอาศัยไปก่อน เพราะการเกิดการตายมันจบสิ้นไม่ได้ ก็เกิดตายๆ มีที่พึ่งอาศัย เกิดตายในสิ่งที่ดี แต่ถ้ามันถึงที่สุดได้ในปัจจุบันนี้ มรรคญาณ ในอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สิ่งที่เป็นมรรค นิโรธะ มันดับ มันดับอย่างไร ความดับ ความขับเคลื่อนออกไป พ้นออกไปจากคุกนี่มันทำอย่างไร มันทำของเราขึ้นมาได้ ถ้าทำของเราขึ้นมาได้ มันจะเกิดขึ้นมา

ศาสนาสอนใคร ศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้สอนใคร เอาไว้สอนพระอรหันต์เหรอ ศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้สอนพวกกิเลสตัณหาหยาบๆ พวกเรานี่แหละ สอนปุถุชนนี่ สอนให้มันรู้จักเสียสละ เราเสียสละของเราออกมา ถ้าเราไม่เสียสละออกมา เราก็ไม่มีโอกาส เราเสียสละออกมาจากครอบครัว เสียสละออกมาจากโลก เสียสละออกมาจากคุกอันหนึ่ง คุกของสังคม สังคมเขาต้องอยู่อย่างนั้นน่ะ

พระนี่ทำลายสังคม ทำให้ชาติตระกูลมันกุดด้วนไป...มันจะกุดด้วนไปไหน คนมันล้นโลกอยู่นั่นน่ะ เราพ้นออกมาจากคุกของสังคม แล้วเราออกมาอีกสังคมหนึ่ง สังคมของสมณะ สังคมของผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร แล้วเราพยายามรักษาใจของเรา

เราต้องตั้งสตินะ ถ้ามีความเข้มแข็ง การประพฤติปฏิบัติมันจะเป็นการประพฤติปฏิบัติ ถ้ามีสติขึ้นมา ความเพียรถึงเป็นความเพียรชอบ ถ้าสติสัมปชัญญะเราอ่อนลง มันปฏิบัติไป สติมันจะอ่อนลงเป็นธรรมดา อ่อนเป็นธรรมดาเพราะอะไร เพราะพลังงานที่มันใช้ไปแล้ว มันก็ต้องย่อยสลายเป็นธรรมดา เราก็ตั้งใจขึ้นมา ตั้งสติขึ้นมา ฝึกมัน! ฝึกมัน! สัตว์มันยังฝึกได้ ดูวัว ดูควายสิ เขาเอามาไถนาน่ะ วัวควายที่ไม่ได้ฝึก ราคาก็ราคาหนึ่งนะ วัวควายที่ฝึกแล้วที่มันไถนาได้มันเป็นอีกราคาหนึ่งนะ สัตว์มันยังฝึกมาใช้งานได้ แล้วทำไมหัวใจเราฝึกมาใช้งานไม่ได้ แล้วถ้าเราไม่ฝึกขึ้นมา คุณธรรมมันมาจากไหน ถ้าเราไม่ฝึก เราไม่ต่อสู้กับมัน วัวควายก็เป็นตัวเป็นตน เจ้าของเขาต้องฝึก เขาต้องเฆี่ยนต้องตีมัน เพราะเฆี่ยนตีมันมันก็เจ็บ มันก็กลัว มันก็ทำตามคำสั่งของเจ้าของ

หัวใจของเราเป็นนามธรรม เอาอะไรไปตีมันน่ะ ตีมันก็ตีโดนแต่เนื้อเรา โดนแต่ตัวเรา ฟาดลงไปก็โดนแต่ตัวเรา เจ็บปวดที่ตัวเรานี่ แล้วหัวใจเรามันอยู่ไหน เราจะเอาอะไรไปบังคับบัญชามัน หัวใจคือสตินี่ไง หัวใจ สติ จับมันให้ได้ จับมันแล้วก็เอาคุณธรรมตีมัน เอาปัญญา เอาความคิด ตีมัน ตีมันสิ เอ็งจะเกิดอย่างนี้อีกเหรอ เอ็งยังจะมาเกิดตายๆ เอ็งจะมาเกิดมาทุกข์มายากอย่างนี้

สิ่งที่อาศัยกันน่ะ ปัจจัยเครื่องอาศัย เรื่องร่างกาย เรื่องปัจจัยเครื่องอาศัยน่ะ มีความสุขในการอยู่การกินน่ะ มันก็อยู่แค่นี้ แล้วมันเจ็บไข้ได้ป่วยไหม มันมีความเจ็บช้ำน้ำใจไหม มันจะมีน้ำตาไหลออกมาจากตาไหม ถ้ามันมีอย่างนี้ เอาปัญญานี่ตีมัน ตีมันให้มันอยู่ในร่องในรอยไง เห็นไหม สัตว์เขาเอาเชือกเอาหวายเฆี่ยนตีมัน เราเอาปัญญาของเรา เอาสติเราเฆี่ยนตีมัน เฆี่ยนตีมัน บังคับมัน ถ้าไม่บังคับมันนะ สัตว์เร่ร่อน สัตว์ไม่มีเจ้าของ สัตว์ไม่มีเจ้าของมันก็ไป สัตว์มีเจ้าของมันก็มีสติแยบๆๆ เข้ามาน่ะ สัตว์มีเจ้าของ ดึงมันไว้ รักษามันไว้

สังคมจะว่าอย่างไรมันเรื่องของสังคม โลกธรรม ๘ ติฉินนินทามันเรื่องธรรมชาติ ใครจะว่าอย่างไรมันเรื่องของเขา แต่ความสุขความทุกข์มันเรื่องของเราน่ะ ชีวิตเป็นเรื่องของเรา เราเกิดมา เราเป็นคน ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตนน่ะ มันเรื่องของเรา เราจะทำมันเรื่องของเราใช่ไหม เรื่องของเขาเป็นเรื่องของเขา เรื่องของเรา เรามีสติไหม เรามีความตั้งใจของเราไหม ถ้าตั้งใจโลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่มีมาแต่โดยดั้งเดิม แล้วจะมีตลอดไป ความติฉินนินทามันจะมีตลอดไป ถ้าเราไปตื่นเต้นกับการติฉินนินทา เราจะไม่มีจุดยืน เราจะเอาสังคม.. สังคมมันขังเราอยู่แล้ว! มันเป็นคุกคุกหนึ่งที่ขังเราอยู่นั่น แล้วเรายังไปแคร์มันอีก ยังไปยอมจำนนกับมันอีก ใครพูดสิ่งใดก็เชื่อตามเขาไปหมดเลย นี่เขาขังคุกแล้วนะ ยังไม่รู้ตัวว่าโดนขัง ยังจะไปตามเขาอีกเห็นไหม

แต่ถ้าเราจะออกจากคุก ใครจะว่าอย่างไร เราไม่ว่าเขา คุกนี้มันขังเราอยู่ เราจะเอาตัวเราออกให้ได้ ถ้ามันออกมาให้ได้ ฝึกมันให้ได้ ออกมาแล้วต้องมาฝึก พอฝึกมัน เราก็ใช้สติปัญญาของเราเฆี่ยนตีหัวใจของเรานี่

หัวใจของเรามันต้องการคนช่วยเหลือนะ มันทุกข์มันยาก มันต้องการความช่วยเหลือ เหมือนเด็กเลย เด็กน้อย เด็กอ่อน ถ้าพ่อแม่ไม่เลี้ยงรอดมาไม่ได้หรอก หัวใจที่มันอ่อนแอ มันไม่มีสติสัมปชัญญะ มันไม่มีปัญญาควบคุมมันน่ะ ใครจะเลี้ยงมัน เด็กมันยังมีตัวมีตน หัวใจของเรานี่เป็นนามธรรม แล้วธรรมะเป็นนามธรรม สัจธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเอาอะไรเลี้ยงมัน จะให้มันโตขึ้นมาได้อย่างไร จะให้มีสติสัมปชัญญะขึ้นมาอย่างไร ทำไมเราไม่ฝึกฝนของเรา เราจะพ้นจากคุกนะ เราจะทำให้ได้นะ

วันนี้วันพระ วันพระวันสำคัญ วันสำคัญเพราะว่าเป็นวันหลักชัยในศาสนา เราจะยึดมั่นถือมั่น เรามีที่เกาะยึดได้ เราประพฤติปฏิบัติอยู่กับครูบาอาจารย์นะ วันพระ ทุกวันพระจะถือเนสัชชิก จะไม่นอน เพราะธรรมดาเราปฏิบัติเป็นอาชีพอยู่แล้ว อาชีพของเรานะ สมณะสารูป อาชีพของภิกษุผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ธรรมดาก็ปฏิบัติอยู่แล้ว ยิ่งวันพระ วันโกน ไม่นอน ไม่นอนสู้กับมัน ถ้าเรายังมีเหตุมีปัจจัยที่ยังต้องต่อสู้อยู่ เราต้องไม่อ่อนแอ ต้องไม่ลืมตัว ต้องต่อสู้กับมัน

แล้ววันเวลา นักขัตฤกษ์ วันปีใหม่ วันสงกรานต์น่ะ เขามีไว้ทำไมน่ะ เขามีไว้ให้คนตื่นตัว มีไว้ให้คนเริ่มต้นตั้งชีวิตใหม่ นี่ก็เหมือนกัน วันพระ วันโกน มันก็เรื่องของวันพระ เราก็เป็นพระ แล้วเราจะปฏิบัติให้ใจเราเป็นพระ เราจะพ้นออกจากคุกจากกิเลส เราก็ต้องต่อสู้ เราก็ต้องเอาวันสำคัญเป็นที่ยึดเกาะ แล้วเราก็มีกำลังใจของเรา ไม่ใช่ทำสักแต่ว่าทำ วันนี้ก็ทำเท่านี้ พรุ่งนี้ก็ทำเท่านี้ ทำเท่านี้ตลอดไป ทำเท่านี้ทำอยู่แล้ว วันพระ วันโกน ก็เพิ่มเข้าไป เพิ่มให้ทำมากขึ้น เพิ่มให้ทำให้ดีขึ้น เราจะมีสติสัมปชัญญะ เราจะสู้กับมันได้

วันประเสริฐเป็นประเสริฐ วันพระวันประเสริฐแล้ว เราประเสริฐต้องประเสริฐกับใจเราด้วย เราต้องให้มีคุณค่ากับเรา ไม่ใช่วันคืนผ่านไปๆ ก็วันคืนล่วงไปๆ เราไม่เห็นได้อะไรเลย ไม่เคยเตือนตัวเองเลย นี่เอาปัญญาอย่างนี้เตือนตัวเอง เตือนตัวเองนะ วันคืนล่วงไปๆ นะ ชีวิตน่ะ สิ่งที่ได้มา คนละ ๕๐-๖๐ ปีน่ะ มันหมดไปแล้วน่ะ เด็กมันเกิดมามันก็ว่าชีวิตหนึ่งก็ร้อยปี มันก็จะอยู่ไป เราหมดไปแล้วนะ ๖๐ ปี ๗๐ ปีนะ แล้วมันเหลือเท่าไรล่ะ แล้วเราจะปล่อยอย่างนี้อีกไหม

ถ้ามีสติคิดนะ โลกนี้เป็นโลกนี้ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด.. ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด.. ถึงเวลา จิตก็ต้องพลัดพรากออกจากกายไป ร่างกายทิ้งไว้ในโลกนี้ จิตใจมันก็จะหมุนไปเวียนไปตามบุญตามกรรมของจิตนั้น ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วก่อนที่จะพลัดพราก เราจะสะสมสิ่งใดเป็นสมบัติของเรา เอวัง